จบปริญาตรีช้ากว่าเดิม 1 ปี และไม่ได้รับเกียรนิยมอันดับ 1 เพราะความเข้าใจผิด (ขอคำแนะนำ)

          สวัสดีครับ ผมอยากเล่าปัญหาในช่วงจบปริญญาตรีของผมและอยากให้เพื่อนๆทุกคนช่วยครับ (ยาวหน่อยขอโทษครับ)
ผมเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ที่กำลังจะจบการศึกษาด้วยเกรด 3.53 เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ผมมีความประสงค์ที่จะทำเรื่องจบการศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 ซึ่งผมได้ทำการสอบถามข้อมูลจากฝ่ายทะเบียนโดยการ ย้ำคำถาม ว่าหากผมต้องการยื่นเรื่องจบการศึกษาและรับปริญญาในเดือนพฤศจิกายนนี้ สามารถดำเนินการได้สิ้นสุดวันที่เท่าไหร่ กระผมจึงได้ทราบข้อมูลว่า สามารถทำเรื่องคาดว่าจะจบได้ถึงวันที่ 19 กรกฎาคม 2562 เมื่อผมทราบเช่นนั้นจึงเดินทางกลับ เพื่อไปหาเงินมาชำระค่าเทอมค้างจ่าย (เนื่องจากกระผมมีปัญหาด้านการเงินตั้งแต่ตอนที่กำลังศึกษาอยู่ จึงทำให้ต้องกู้เงิน กยศ. และหาเงินส่วนที่เหลือเพิ่มเติม ซึ่งยังค้างชำระค่าเทอมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 8,700 บาท จึงทำให้ไม่สามารถทำเรื่องคาดว่าจะจบก่อนหน้านี้ได้) 
          จากนั้นเมื่อถึงวันที่ 19 กรกฎาคม 2562 ผมจึงเดินทางมามหาวิทยาลัย เพื่อมาทำเรื่องคาดว่าจะจบและจ่ายชำระค่าเทอมที่เหลือจนครบ พร้อมทั้งชำระค่ารักษาสภาพนักศึกษาจำนวน 500 บาท การดำเนินการเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีข้อติดขัดอย่างไรจากนั้นกระผมจึงเข้าใจว่า ผมได้ดำเนินการเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้วจึงเดินทางกลับ
          แต่ผลปรากฏว่า ในวันที่ 26 สิงหาคม  อาจารย์ที่ปรึกษาโทรมาหาผมเพื่อแจ้งว่า ผมทำเรื่องคาดว่าจะจบล่าช้าเกินกำหนด ทำให้ผมต้อง รับปริญญาในปี 2563 และไม่ได้รับเกียรตินิยม ซึ่งภายในวันนั้นเอง ผมจึงเข้ามาติดต่อที่ฝ่ายทะเบียน หลังจากได้ปรึกษากับผู้อำนวยการฝ่ายทะเบียน จึงได้ทราบว่า ในวันที่แจ้งการทำเรื่องคาดว่าจะจบ อาจารย์ฝ่ายทะเบียนคิดว่าผมทำเรื่องของปี 2562 ซึ่งที่จริงผมทำเรื่องจบปี 2561 ผมย้ำกับอาจารย์ในคราวนั้นแล้วว่า ผมทำเรื่องจบเพื่อรับปริญญาในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ ผมจะมีเวลาถึงวันไหน และหลังจากผมดำเนินการเรื่องเอกสารเสร็จ ผมก็ได้ถามย้ำกับอาจารย์ฝ่ายทะเบียนอีกครั้งแล้วว่า ผมจะได้รับปริญญาเดือนพฤศจิกายนและจะได้รับเกียรตินิยมตามปกติใช่หรือไม่ อาจารย์ตอบว่าใช่ แต่พอถึงวันที่ 26 สิงหาคม กลับแจ้งว่าผมทำผิดระเบียบโดยยื่นเรื่องล่าช้า ซึ่งผมคิดว่า ผมไม่ได้รับความเป็นธรรมในครั้งนี้ ผมทำตามที่อาจารย์แนะนำ ผมถามอาจารย์และเขาก็บอกผมว่าเป็นวันที่ 19 กรกฎาคม และเขาให้ผมดำเนินการรักษาสภาพนักศึกษา ซึ่งผมไม่มีตัวลงเรียนเพิ่มในปี 2562 , แต่อาจารย์ฝ่ายทะเบียนให้ผมรักษาสภาพนักศึกษา โดยการทำเรื่องและไม่ต้องลงเรียนเพิ่ม ผลที่ได้คือระบบแจ้งว่าผมกลายเป็นนักศึกษา 5 ปี จึงทำให้ไม่ผ่านเกณฑ์ได้รับเกียรตินิยม (การได้รับเกียรตินิยมคือต้องจบ 4 ปี) ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวล้วนดำเนินการตามที่อาจารย์แนะนำทั้งสิ้น
          ต่อมาเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2562 ผมถูกเรียกไปชี้แจ้งเหตุการณ์ดังกล่าวกับท่านรองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ ผลสรุปออกมาเหมือนเดิมว่า ผมต้อง รับปริญญาในปี 2563 และไม่มีสิทธิ์ได้รับเกียรตินิยม ซึ่งท่านรองฯ ได้แจ้งว่าเหตุการครั้งนี้ไม่ควรเกิดขึ้น ไม่มีใครถูกไม่มีใครผิด เหตุเกิดจากความผิดพลาดในการสื่อสารและกล่าวว่าจะปรับปรุงระบบการสื่อสารให้ดียิ่งขึ้น (กล่าวในเชิงเป็นบทเรียนเพื่อปรับปรุงการดำเนินการของมหาวิทยาลัย) แต่กรณีของผมไม่สามารถดำเนินการให้ได้เพราะ ตามระเบียบ ผมดำเนินการล่าช้ากว่าที่กำหนด (ดำเนินการในวันที่ 19 กรกฎาคมจากเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น)
          ผมกลายเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบคนเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ซึ่งผมคิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างมาก ผมจึงเดินทางไปยัง ศูนย์ดำรงธรรม เพื่อดำเนินการ ทางเจ้าหน้าที่แจ้งมาว่า เขาไม่มีอำนาจในการดำเนินการ อีกทั้งยังกล่าวอีกว่า ทางผู้ว่าและศาลยุติธรรมก็ไม่มีอำนาจ ไม่ต้องไปเดินเรื่องให้เสียเวลา
          ผมจึงอยากจะขอคำแนะนำจากทุกคน ผมศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้มา 4 ปี  ตั้งใจเรียน ตั้งใจทำกิจกรรม ช่วงก่อนจบทำโปรเจคจบจนดึกตลอดเทอม ตั้งใจจนคิดว่าได้เกียรตินิยมอันดับ 1 มาแล้วแน่ๆ แต่ท้ายที่สุดผมก็ไม่ได้อย่างที่ผมคาดหวังไว้ ผมไม่รู้ว่าจะดำเนินเรื่องอย่างไรดีต่อไปดี ค่อนข้างท้อและรู้สึกว่าถึงทางตัน จึงอยากจะขอคำแนะนำจากทุกคนว่าผมควรดำเนินการอย่างไรต่อไปหรือควรแจ้งหน่วยงานไหนได้บ้าง เพื่อให้ผมมีโอกาสได้เกียรตินิยมของผมคืน ขอบคุณครับ

แก้ไข 1 = ชื่อบิล ชำระค่ารักษาสภาพนักศึกษาจำนวน 500 บาท ระบุให้ชัดเจนยิ่งขึ้นครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
อีกทางหนึ่งก็คือทำใจค่ะ
มันเป็นเรื่องใหญ่มากของคุณในตอนนี้พี่เข้าใจ

แต่ถ้าน้องโตขึ้น จะรู้ว่าชีวิตมีอะไรที่โหดร้ายกว่านี้อีกเยอะ
มีบางครั้งที่เราต้องซวย เพราะความผิดพลาดของคนอื่น
(เหยื่อจากการขับรถห่วยๆ มีให้เห็นทุกวัน)
ทำงานเหนื่อยแทบตาย โดนขโมยผลงาน
มีให้เห็นกันบ่อยๆ

โลกไม่ยุติธรรม มันไม่ยุติธรรมตั้งแต่เราเกิดมาแล้วค่ะ

แต่เราเลือกได้ว่าจะยึดติด แล้วทำให้ชีวิตเราเป็นทุกข์
หรือปล่อยผ่าน แล้วทำชีวิตต่อไปให้มีความสุข
ความคิดเห็นที่ 12
ต่อให้มีกฎระเบียบ แต่ถ้าสอบสวนแล้วไม่ใช่ความผิดเรา เขาต้องยกเว้นให้กรณีพิเศษ กฎระเบียบมันต้องคู่กับการวินิจฉัย ไม่ใช่อ้างแต่กฎ เพราะกฎมันเป็นบัญญัติที่ตั้งขึ้นมาเอง ส่วนความยุติธรรมคือสิ่งที่ต้องอยู่เหนือกฎอีกที

ไม่ควรปล่อยผ่านครับ มันสิทธิของเรา เราใช้การอะลุ้มอร่วยผิด ๆ แล้วครับ ใช่สิเพราะไม่ใช่ปัญหาของคนอื่น จะได้ใช้หรือไม่ได้ใช้ไม่เกี่ยว แต่เราควรได้ ถ้าเกียรตินิยมมันไม่สำคัญ ก็ยกเลิกไปให้หมดเลยเถอะ

ยิ่งถ้ายังไงก็ไม่ได้ อยู่เฉย ๆ ก็ไม่ต่างกัน ก็พยายามดูสักตั้งยังพอมีความหวัง เพราะเราย้อนเวลาไม่ได้ เมืองนอกมีนักศึกษาได้เกรด C ทั้ง ๆ ที่เขาคิดว่าควรจะได้เกรด A เขาใช้เวลาหลายปีเพื่อดันกฎหมายจนผ่าน แล้วก็มาขอให้มหาวิทยาลัยแก้เกรดให้ ใช่แล้วมันไม่มีกฎระเบียบรองรับหรอก แต่คุณเอาชนะกฎระเบียบเหล่านั้นเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเองได้ไหมล่ะ

กฎระเบียบมีไว้เพื่อความเรียบร้อยของคนส่วนใหญ่ แต่มันไม่ใช่ประกาศิต ถ้ากฎมันมีจุดบอด เราก็ต้องใช้วิจารณญาณมาประกอบด้วย ไม่ใช่อะไร ๆ ก็อ้างกฎ เราต้องดูเจตนาของกฎ และดูความจริงด้วยว่าเขาจงใจไม่ทำตามกฎหรือเป็นเพราะความบกพร่องของระบบ

ถ้าเราไม่ได้รับคำแนะนำผิด ๆ เรามีเหตุผลอะไรที่จะไม่ทำตามกฎล่ะ มีใครอยากให้ตัวเองจบช้าลง 1 ปีและพลาดเกียรตินิยมอันดับหนึ่งหรือเปล่า การปกป้องสถาบัน กับการเอาใบบัวปิดซากช้างเน่า มันคนละความหมายกันนะ ทำไมผู้มีอำนาจต้องถูกเสมอ

แนะนำว่าก็แค่พยายามดำเนินการเรียกร้องความยุติธรรมอย่างถูกวิธีก็พอครับ เราต้องการแค่รักษาสิทธิของตัวเอง ไม่ได้อยากรุกล้ำสิทธิของใคร ถ้าเป็นตัวเองก็คงยื่นเรื่องไปหลาย ๆ ที่ครับ จนกว่าจะมีข้อมูลเอามายันกับมหาวิทยาลัยให้ได้ว่าเขาควรยกเคสเราเป็นกรณีพิเศษ เพราะความผิดพลาดครั้งนี้มีเจ้าหน้าที่มาเกี่ยวข้องด้วย ไม่ใช่ความประมาทเลินเล่อของเราเพียงผู้เดียว ทำไมเราต้องรับผิดอยู่คนเดียว
ความคิดเห็นที่ 8
พี่เห็นด้วยกับน้องนะคะ พี่ช่วยโหวตให้แล้วกัน

เกียรตินิยมมีค่านะคะ ใครบอกให้ทำใจเมินความเห็นน้นไปเลย  น้องชายพี่จนเกียรตินิยม ทำงานปีเดียวได้เงินเดือนมากกว่าคนที่จบแบบไม่มีเกียรตินิยม 3 เท่า เพราะมันมีความน่าเชื่อถือแฝงอยู่ในนั้น  ยึนยันเลยค่ะว่า ห้ามยอมแพ้เด็ดขาด เพราะชีวิตเป็นของน้อง และสิทธินี้เป็นสิทธิที่น้องควรจะได้ พี่เป็นกำลังใจให้มากๆๆๆๆๆๆๆ เลยนะคะ

ลองปรึกษาพ่อแม่ได้ไหมคะว่า จะฟ้องเคสนี้ดู คิดว่าน่าจะต้องไปที่ศาลปกครองเช่นกัน อาจจะยุ่งและวุ่นวายพอสมควร แต่ก็อยากให้น้องสู้เพื่อตัวเองนะคะ

พร้อมยืนเคียงข้างน้องค่ะ
ความคิดเห็นที่ 10
กรณีที่จะฟ้องนี้ ผมว่าศาลปกครอง ไม่น่าจะมีอำนาจรับฟ้อง
คดีที่จะฟ้องศาลปกครองได้ จะต้องเป็นดคีที่อยู่ใน มาตรา 9
แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542

     มาตรา 9 ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้
     (1) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ คำสั่งหรือการกระทำอื่นใดเนื่องจากกระทำโดยไม่มีอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่หรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น หรือโดยไม่สุจริต หรือมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม หรือมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็นหรือสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร หรือเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ
     (2) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร
     (3) คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คำสั่งทางปกครอง หรือคำสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร
      ......

------------

คดี (1)
ต้องเป็นคดีเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ คำสั่งหรือการกระทำอื่นใด เนื่องจากกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้
- ไม่มีอำนาจ หรือนอกเหนืออำนาจหน้าที่ <--- สภาฯ มีอำนาจไม่อนุมัติปริญญาเกียรตินิยม ไม่นอกเหนืออำนาจหน้าที่
- ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย <--- ขอจบล่าช้า สภาฯ ไม่อนุมัติปริญญาเกียรตินิยม ไม่ผิดกฎหมาย
- ไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอน หรือวิธีการอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น <--- กรณีนี้ เช่น มีการข้ามขั้นตอนสำคัญบางอย่าง
- ไม่สุจริต <--- ไม่มีใครไม่สุจริต
- มีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม <--- ก็ไม่ได้เลือกปฏิบัติกับใคร
- มีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็นหรือสร้างภาระให้เกิดกับประชาชนเกินสมควร <--- ไม่มีการสร้างขั้นตอนหรือภาระ
- เป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ <--- ดุลพินิจที่ไม่อนุมัติ เกิดจากการขอจบล่าช้า
พิจารณารายกรณีแล้ว ไม่น่าจะเข้าซักกรณี

คดี (2)
จะเป็นกรณีละเลยต่อหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้า
ตามเนื้อหา ก็ไม่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ ละเลย หรือ ปฏิบัติหน้าที่ล่าช้า

สำหรับคดี (3) ศาลปกครองเคยวางแนวคำสั่งออกมาแล้ว
ว่า คำแนะนำของเจ้าหน้าที่ที่ไม่ถูกต้อง เป็นเหตุให้บุคคลได้รับความเสียหาย
โดยการให้คำแนะนำดังกล่าวเป็นเพียงการให้ความเห็น ซึ่งความเห็นของเจ้าหน้าที่
ไม่มีลักษณะของการบังคับให้บุคคลต้องปฏิบัติตาม
จึงไม่ได้ก่อให้เกิดผลในทางกฎหมาย
ที่มีลักษณะเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่เช่นเดียวกับการออกกฎคำสั่งทางปกครองหรือคําสั่งอื่นแต่อย่างใด
กรณีนี้จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทําละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ
อันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมายหรือจากกฎคำสั่งทางปกครองหรือคําสั่งอื่น
ที่อยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองฯศาลปกครอง
จึงไม่อาจรับคําฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณาได้
คําสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ คผ.66/2562

ผมสรุปสั้น ๆ เผื่อคนอ่านภาษากฎหมายไม่เข้าใจ
- คำแนะนำของเจ้าหน้าที่ ไม่ได้เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมาย ซึ่งเป็นการบังคับบุคคลให้ต้องปฏิบัติ
  ผู้ได้รับคำแนะนำไม่ได้ถูกบังคับ จึงต้องพิจารณาเอกว่าจะปฏิบัติหรือไม่อย่างไร
  ศาลปกครองจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา

-----------

ความคิดเห็นส่วนตัว
ศาลปกครองไม่น่ามีอำนาจรับฟ้องไว้พิจารณา ตามที่กล่าวมาข้างต้น
แต่อาจจะลองฟ้องดูก็ได้ครับ
มีตัวอย่างคดี คดีหมายเลขดำที่ อ. 500/2552 คดีหมายเลขแดงที่ อ. 302/2556 ฟ้องสภามหาวิทยาลัย
กรณีไม่อนุมัติปริญญาเกียรตินิยม
แม้ข้อเท็จจริง จะไม่ใช่อย่างเดียวกับ จขกท.
แต่ก็ลองดูเป็นแนวทางได้ครับ
http://admincourt.go.th/admincourt/upload/admcase/Document/judgement/PDF/2552/01012-520500-1F-560426-0000116721.pdf
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่